วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทสัมภาษณ์รุ่นพี่ศิษย์เก่า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์(สถ.) พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง

คุณ โอภาส เกวลิน

* ประวัติส่วนตัว

  ชื่อ : โอภาส เกวลิน
  ประวัติการศึกษา : เข้ารับการศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะสถาปัตยกรรมศาตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าฯลาดกระบัง เมื่อปี พ.ศ. 2527-2532 หลังจากนั้นเข้ารับการศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี
  ปัจจุบัน : ทำงานที่บริษัท Studio17 (อุดมสุข) เป็นบริษัทที่รับออกแบบอาคารและ Interior (เป็นบริษัทที่ร่วมเปิดกับเพื่อนของคุณโอภาสเอง)

------------------------------------------------------------------------

* ความรู้สึกก่อนเข้าสัมภาษณ์

 เนื่องจากพี่โอภาสเป็นผู้ใหญ่ที่อายุห่างกับตัวดิฉันเอง 10 กว่าปี เลยมีอาการเกร็งบ้างในช่วงแรกที่ได้ติดต่อขอเข้าสัมภาษณ์กับพี่โอภาส เนื่องจากพี่มีงานประจำด้วย เกรงใจอยู่พอสมควรว่าจะรบกวนเวลสการทำงานของพี่โอภาส แต่เมื่อได้เวลาที่สะดวกต่อการสัมภาษณ์แล้ว ก็ได้รับความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์จากพี่โอภาสอย่างดีมากๆค่ะ

------------------------------------------------------------------------

* บทสัมภาษณ์



   บรรยากาศในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย : " ในสมัยนั้นตอน พ.ศ. 2527 ตอนนั้นยังอยู่ในช่วงจนเนอะ เพราะมีการปฏิวัตบ่อย ทำให้เศรษฐกิจช่วงนั้นไม่ค่อยดี การใช้ชีวิตเลยค่อนข้างจะใสๆ บ้านๆ เรียบง่าย ไร้เดียงสา ผู้หญิงผู้ชายก็จะเซอร์ๆ ตัวผอมๆ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ สะพายย่าม หน้าตาโทรมๆ ไม่ค่อยแต่งจัดเต็มแบบเดี๋ยวนี้ คือ สมัยนี้สะดวกสบายขึ้นเยอะไง บางคนก็มีรถเป็นของตัวเองใช่มั้ย อย่างผู้ชายก็จะออกแนวหนุ่มเจ้าสำราญ ผู้หญิงก็รักสวยรักงาม แต่งหน้าแต่งตาจัดเต็มมาก สมัยพี่ไม่มีแบบนี้หรอก(หัวเราะ) แบบสมัยนี้ตอนเย็นเลิกเรียนก็ไปสังสรรค์แบบนี้ใช่มั้ย สมัยพี่จะขยันเรียน นัดทำงานมากกว่า เพราะเงินไม่ค่อยมีน่ะ ทำงานที่ Studio แบบนี้มากกว่า แต่ก็จะมีกลุ่มเรียนและกลุ่มกิจกรรมนะ เวลาส่งโปรเจกต์ทีก็ลำบากนะ เพราะสมัยก่อนค่า Taxi แพงมาก ต้องโหนรถเมล์มาส่งงาน คิดดูว่าลำบากมากเพราะนั่งมา 1 ชม. กว่าจะถึงลาดกระบังก็ 16 กม. แบกกันขึ้นรถเมล์ทั้งเพลตทั้งโมเดล เหนื่อยมาก ลำบากมากอ่ะ ค่าครองชีพแพงมากในสมัยนั้นนะ แต่ก็สนุกดีนะ ชีวิตวัยเรียนตอนนั้น มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะสมัยก่อนอ่ะ แต่พี่ก็ได้เห็นพัฒนาการสังคมเรื่อยๆนะ "

    ลักษณะงานที่ทำในปัจจุบัน : " เป็นงานออกแบบ Building ครบวงจร กล่าวคือ ออกแบบทั้งงานทางด้านสถาปัตยกรรม โครงสร้าง งานระบบ และงานในส่วนของ interior ทั้งนี้ไม่ได้รวมถึงงานทางด้าน Landscape ทางบริษัทไม่ได้รับออกแบบในส่วนนี้ " 

    ลักษณะงานที่ชอบออกแบบ : "เป็นคนชอบออกแบบอาคารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตัว Building อาคารต่างๆ เช่น Condominium Office เป็นต้น หรือเป็นงานแนวพื้นราบ เช่น รีสอร์ท เป็นต้น แต่ที่ยังไม่เคยได้ลองทำคือ โรงพยาบาล ยังไม่เคยได้ลองทำนะ"

    ตัวอย่างงานที่เคยออกแบบมา : "งานลูกค้าหลักที่ทำอยู่ปัจจุบัน คือ ธนาคารกสิกรไทย โดยจะเน้นไปทาง Interior มากกว่า ทุกสาขาที่เห็นจะเป็นงานที่บริษัทออกแบบทั้งหมด"

    อุปสรรคในการทำงาน : "โดยพื้นฐานงานสาขาอาชีพเราเป็นงานโครงการ คือ มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในการทำโครงการ เพราะฉะนั้นจะมีระยะเวลาในการกำหนดทำโครงการ เช่น 1 ปี 2 ปี 3 เดือน เป็นต้น  อุปสรรคที่พบได้ตลอดการทำงาน คือ จะมีการเปลี่ยนแปลงของโครงการอยู่ตลอดเวลา เช่น ความต้อวการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดการทำโครงการ เป็นต้น "

   ประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ : " เราเป็นนักสร้างสรรค์ เราก็ต้องออกแบบและคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ถามว่าเปลี่ยนชีวิตพี่ไหม โดยส่วนตัวก็ไม่เคยไปประกอบวิชาชีพอื่น เลยยังไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร แต่เคยคิดนะ อย่างเช่น เวลาไปเดินห้าง เห็นคนอาชีพอื่นเขาเดินเล่นๆชิลๆ แต่เราก็มีงานต้องทำ มีการบ้านต้องทำ เหมือนงานมีอยู่เรื่อยๆไม่สิ้นสุด แต่มันก็เหมือนทำให้เราสนใจสิ่งรอบด้านมากขึ้น เนื่องจากอาชีพเราต้องศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบด้านตลอดเวลาอยู่แล้ว อีกอย่างพอมาเป็นเจ้านายคนมันก็ต้องเหนื่อยแบบหนึ่ง เป็นผู้นำ แต่เป็นลูกจ้างมันก็จะเหนื่อยอีกแบบหนึ่ง "

     การทำงานกับการเรียนแตกต่างกันอย่างไร :  " ช่วงปีแรกที่จบมารู้สึกว่าการเรียนหนักกว่ามาก (ลากเสียงยาว) พอจบมาได้ 3 ปีแรก เริ่มทำงานที่รู้สึกว่าเบากว่าตอนเรียน เหมือนกับว่าทำงานรู้สึกว่าหนักเป็นเวลา แต่ตอนเรียนจะหนักตลอดเนื่องจากเราทำงานคนเดียว ตรวจงานกับอาจารย์หลายคน แต่ตอนทำงานบริษัทเหมือนกับมีคนคอยช่วย เลยรู้สึกว่าไม่หนักมาก แต่นี่คือความรู้สึกในช่วง 3 ปีแรกนะ เพราะพอหลังจาก 3 ปีแรกที่จบมา งานก็จะหนักขึ้นๆ ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เหมือนจบไปแรกๆจะไม่ได้ทำทั้งโครงการใหญ่ๆ ทำแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งในโครงการ มีบ้างที่ต้องออกไปคุยกับลูกค้า กับวิศวกร หรือแม้แต่เรื่องของฮวงจุ้ย ซึ่งเมื่อน้องจบมาแล้วได้ไปทำงานจริงๆ จะรู้ว่าเรื่องพวกนี้มันมีอิทธิพลต่อการทำงานในอาชีพเรา ตอนเรียนเราเหมือนคนไม่รู้อะไรแล้วเราทำไปเรื่อยๆโดยที่ยังไม่รู้อะไร แต่พอไปทำงานเราก็จะได้อะไรมากขึ้น เพิ่มเติมความรู้และมีประสบกาณ์มากขึ้น "

    ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม : "เหมือนกับว่าในประเทศไทยเป็นแค่กระแสที่เพิ่งมี เป็นจุดเริ่มต้นมากกว่า แต่เนื่องจากบ้านเรายังไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง ยังมองเรื่องเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สำคัญ รายได้ไม่ทัดเทียมกันทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเอาตัวรอด โดยไม่ได้มีการปลูกฝังให้รู้สึกว่าธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอย่างไร ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึง แต่อย่างว่า ในบ้านเรา ลูกค้าเวลามาให้ออกแบบก็ดูงบประมาณก่อน อะไรที่ดีกว่า ประหยัดพลังงาน แต่ถ้าแพงลูกค้าก็ไม่เอาหรอก  พี่มองเรื่องนี้ว่ามันยังเป็นแค่กระแสนะ เพราะบ้านเรายังไม่เคยได้รับผลกระทบหนักๆจากเรื่องธรรมชาตินี้แล้วทำให้เราใส่ใจมากขึ้น อย่างมากก็น้ำท่วม อากาศร้อน แต่เราก็ยังไม่ตะหนักถึงปัญหาตรงนี้ เพราะยังคิดแค่ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย พี่คิดว่าอาจต้องรอให้เกิดผลกระทบอะไรที่มันเสียหายอย่างมากก่อน ถึงจะมีการมองเห็นแล้วแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง มันสำคัญจริงๆนะ"

    ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเด็กใหม่ที่จบมาจากสถาบันนี้และสถาบันอื่นๆ : "พี่ไม่ค่อยห่วงเรื่องเด็กใหม่ที่จบนะ เนื่องจากพี่มีความรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้เก่ง ด้วยเทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัย ทำให้เด็กสมัยนี้มีประสิทธิการทำงานที่ดีขึ้นเก่งขึ้น แต่บางคนนะ บางคนที่เก่งในเรื่องนี้มากๆเลยนะ ทำคอมฯเก่ง เขียน Auto Cad ได้ Perspective สวย แต่ออกแบบงานมาแล้วสร้างไม่ได้ก็มี แบบสมัยนี้อะไรก็ง่าย Copy แป๊ปเดียวก็เสร็จแล้ว อย่างสมัยก่อน การ copy คือ ต้องเอากระดาษมานั่งดร๊าฟงานเอา มันเลยทำให้งานได้ผ่านหูผ่านตาเราและตัวงานแทรกซึมเข้าตัวเรา ช้านะแต่ก็เข้าได้มากกว่าการใช้คอมฯที่สมัยนี้จะเร็วมาก มันเลยแบบบางทีเราก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดงานตรงนั้นที่เราทำไง เลยไม่รู้ว่าที่ทำๆมาคืออะไร เหมือนเวลาเราซีร็อกซ์รายงานส่งอาจารย์ทั้งๆที่เราไม่รู้ว่ารายงานนั้นเนื้อหามีอะไรบ้าง ถูกหรือเปล่า การทำงานจริงพี่ยอมรับว่าการทำคอมฯ มันสามารถทำงานได้ดี เร็ว และแก้ไขง่ายกว่ามือนะ แต่การทำมือพี่คิดว่าคนทำมือน่าจะเข้าใจงานได้ง่ายกว่าเพราะมันผ่านหูผ่านตากับมันไง"

    สิ่งที่อยากจะฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะจบการศึกษา : " ไม่ค่อยห่วงจริงๆนะกับเด็กรุ่นใหม่ แต่อยากให้ลดละเรื่องอบายมุขบ้าง เพราะพี่คิดว่าพวกอบายมุขจะทำให้เราเสียการเสียงาน แต่เรื่องฝีมือไม่ค่อยห่วงหรอกเพราะเด็กสมัยนี้ทำงานเก่งน่ะ ห่วงเรื่องส่วนตัวมากกว่าว่าเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนจะทำให้งานเสียมากกว่าครับ"

----------------------------------------------------------

* ความรู้สึกหลังเข้าสัมภาษณ์

  ด้วยความเป็นกันเองมากของพี่โอภาส ทำให้ดิฉันรู้สึกไม่เกร็งในระหว่างการสัมภาษณ์ และนอกจากนี้ยังได้รับแง่คิดดีๆมากมายทั้งในเรื่องการประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ชีวิตในด้านอื่นๆอีกด้วย ดิฉันหวังว่าคราวหน้าคงมีโอกาสที่จะได้พบพี่โอภาสเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันอีก ดิฉันต้องขอขอบคุณพี่โอภาสที่สละเวลาสำหรับการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ขอบคุณมากค่ะ

------------------------------------------------------------------------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น